เก๊าท์เป็นโรคปวดข้อชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเนื่องจากความผิดปกติในการเผาผลาญสารพิวรีน (PURINE) ทำให้มีกรดยูริคในเลือดสูงขึ้น และตกตะกอนภายในข้อหรือระบบทางเดินปัสสาวะ ทำให้มีอาการปวดข้อ หรือนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะได้ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เป็นโรคถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
เก๊าท์มีอาการอะไรบ้าง
เก๊าท์จะมีอาการร่วมกันหลายอย่างดังนี้
1.
|
เจาะเลือดพบกรดยูริคสูงกว่าปกติ ค่าปกติไม่เกิน 8 มก./ดล. | |
2.
|
ข้ออักเสบมีอาการปวด บวม แดงร้อนบริเวณข้อ มักเป็นรุนแรงเป็นๆ หายๆ เป็นได้กับทุกข้อ แต่พบมากที่ข้อหัวแม่เท้า | |
3.
|
พบนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะ | |
4.
|
พบก้อนขาวคล้ายหินปูน เรียกว่า โทไฟ (TOPHI) เกิดจากการสะสมของผลึกยูเรต (URATE) ซึ่งเกิดจากการตกตะกอนของกรดยูริค (URIC ACID) ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น เส้นเอ็น กระดูกอ่อน (พบบ่อยที่หู) หรือตามข้อต่างๆ |
ผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าท์เกือบทุกราย จะมีกรดยูริคในเลือดสูงร่วมกับอาการดังกล่าวข้างต้น ผู้ที่เจาะเลือดแล้วพบว่ามีกรดยูริคในเลือดสูง แต่ไม่มีอาการปวดข้อ หรือเจาะข้อไม่พบผลึกของเกลือยูเรตในน้ำ และไขข้อไม่ควรเรียกว่า โรคเก๊าท์ อาจจะเป็นแค่กรดยูริคในเลือดสูงเท่านั้น
ทำอย่างไรจึงจะทราบว่าเป็นโรคเก๊าท์
1.
|
เมื่อมีอาการปวดข้อควรไป พบแพทย์ เพื่อซักประวัติโดยอาศัยอาการหลายๆ อย่างร่วมกัน เช่น มีอาการอักเสบของข้ออย่างเฉียบพลัน มักเป็นที่หัวแม่เท้า เป็นๆ หายๆ พร้อมกับเจาะเลือดดูกรดยูริค ถ้าสูงมากกว่า 8 มก./ดล. ถือว่าผิดปกติ เมื่อให้ยาบางชนิดไปรับประทานอาการปวดข้อก็จะหายไปภายใน 48 ชั่วโมง | |
2.
|
เจาะน้ำไขข้อมาตรวจดูผลึกเกลือยูเรต (MONOSODIUM URATE) | |
3.
|
เอกซเรย์ข้อที่ปวด |
โรคเก๊าท์รักษาให้หายขาดได้หรือไม่
โรคเก๊าท์รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่สามารถควบคุมโรคนี้ได้ โดยการรักษาการอักเสบของข้อ พักการใช้ข้อที่ปวด พร้อมกับรับประทานยาป้องกันโรคแทรกซ้อนด้วยการควบคุมอาหาร รับประทานอาหารที่มีพิวรีนให้น้อยลง ในรายที่มีนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะ ต้องผ่าตัด และรับประทานยาตามแพทย์สั่ง
ถ้าไม่รักษาจะเกิดผลเสียอย่างไร ถ้าไม่รักษาจะเกิดผลดังนี้
1.
|
ปวดข้อเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ ต้องทุกข์ทรมานจากการปวดข้อ | |
2.
|
ข้อพิการจากการมีผลึกยูเรตตามเนื้อเยื่อต่างๆ และตามข้อ ทำให้มีปุ่มก้อนตามตัว | |
3.
|
เกิดนิ่วของระบบทางเดินปัสสาวะและไตวายถึงแก่ชีวิตได้ | |
4.
|
โรคหรือภาวะร่วมจะมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น อ้วน ความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ |
การรักษาโรคเก๊าท์ทำอย่างไร
ปัจจุบันมีการรักษาโรคเก๊าท์ ดังนี้
1.
|
ขั้นแรก ถ้ามีอาการอักเสบของข้อต้องรีบรักษาโดยให้ยาลดการอักเสบ | |
2.
|
ให้ยาลดกรดยูริคเพื่อป้องกันอาการกำเริบของข้ออักเสบ | |
3.
|
รักษาโรคหรือสภาวะร่วมที่อาจจะมี เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะกรดยูริคสูงขึ้น | |
4.
|
ให้ความรู้เรื่องโรคเก๊าท์และให้คำปรึกษา เพื่อผู้ป่วยปฏิบัติตนในการควบคุมรักษาโรคได้ดีขึ้น |
เมื่อเป็นโรคเก๊าท์ควรปฏิบัติตนอย่างไร
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเป็นโรคเก๊าท์หรือภาวะมีกรดยูริคในเลือดสูง
1.
|
ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาล | |
2.
|
ควบคุมอาหารโดยงดรับ ประทานอาหารที่ทำให้กรดยูริคสูง เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด สัตว์ปีกทุกชนิด ยอดผักบางชนิด เช่น ยอดกระถิน ชะอม แตงกวา | |
3.
|
งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และเบียร์ เพราะอาจจะทำให้การสร้างกรดยูริคสูงขึ้น และการขับถ่ายกรดยูริคทางไตน้อยลง |
กรดยูริคในร่างกายเกิดได้ 2 ทางคือ
1.
|
เกิดจากกสารพิวรีน หรือนิวคลิโอโปรตีน ที่เป็นส่วนประกอบของอาหารที่บริโภค ส่วนนี้เป็นกรดยูริค ที่เกิดจากสาเหตุภายนอก จำนวนพิวรีนที่เกิดจากอาหารบริโภค จะเปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนพิวรีนที่มีใน อาหาร ถ้าบริโภคอาหาร เครื่องในสัตว์ จะทำให้มีกรดยูริคสูงขึ้น อาหารบางชนิดกระตุ้นให้ระบบทางเดินอาหาร ให้ทำงานเพิ่มมากขึ้น จะทำให้มีกรดยูริคเพิ่มมากขึ้น จึงสรุปได้ว่า กรดยูริคจะเปลี่ยนแปลงไปตาม อาหารบริโภคที่มีโปรตีน การออกกำลังกาย และตามการทำงานของต่อมต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร | |
2.
|
เกิดจากสารพิวรีน ที่ได้จากการสลายตัว ของพวกเซลล์ของอวัยวะในร่างกาย เป็นกรดยูริคที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย กรดยูริคที่เกิดจากส่วนนี้ ย่อมจะเปลี่ยนไปตามการสลายตัวของอวัยวะ เช่น เซลล์มีการทำงานมากขึ้น หรือมีการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น |
อาการของโรคเก๊าท์
1.
|
ระยะแรกมักมีอาการปวดรุนแรง อย่างทันทีทันใด มักพบอาการปวดที่หัวแม่เท้าก่อน อาการมักเกิดขึ้นภายหลัง การกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงมากๆ การดื่มเหล้ามาก หรือการสวมรองเท้าที่คับ บริเวณผิวหนังตรงข้อที่อักเสบ จะตึงร้อน เป็นมัน ผู้ป่วยมักจะมีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย มีเม็ดเลือดขาวสูง อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ใน 2-3 วัน และหายไปเองในระยะ 5-7 วัน | |
2.
|
ระยะพัก เป็นระยะที่ไม่มีอาการแสดง แต่กรดยูริคในเลือดมักสูง และอาการอักเสบอาจเกิดขึ้นอีก จนถึงขึ้นเรื้อรัง อาจมีอาการเป็นระยะๆ เนื่องจากผลึกยูเรตเป็นจำนวนมาก สะสมอยู่ในข้อกระดูก เยื่ออ่อนของข้อต่อ และบริเวณเส้นเอ็น ทำให้เกิดโรคข้อกระดูกเสื่อม เมื่อเป็นมาก จะมีการสะสมของผลึกนี้ ที่เยื่อบุภายในปลอกหุ้มข้อ และเกิดปุ่มขึ้นที่ใต้ผิวหนัง มักเริ่มที่หัวแม่เท้า และปลายใบหูก่อน ข้อที่มีผลึกยูเรตเกาะอยู่ อาจเปลี่ยนแปลงจนผิดรูป และเกิดความพิการที่ข้อกระดูกนั้นๆ | |
3.
|
อาการแทรกซ้อน พบว่า ร้อยละ 25 ของผู้ป่วยข้ออักเสบเฉียบพลันจากเก๊าท์ มักมีนิ่วในไตด้วย ผลึกยูเรต อาจสะสมอยู่ในส่วนหมวกไต ทำให้มีอาการเลือดออกทางปัสสาวะ ถ้ามีการสะสมในไตมากๆ จะขัดการทำงานของไต หรือทำลายเนื้อไต ทำให้เกิดภาวะไตล้มเหลว |
การควบคุมอาหาร เนื่องจากกรดยูริคจะได้จาก การเผาผลาญสารพิวรีน ดังนั้น ในการรักษาโรคเก๊าท์ จึงต้องควบคุมสารพิวรีนในอาหารด้วย อาหารที่มีพวรีน อาจแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ
อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย ( 0-50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
•
|
นมและผลิตภัณฑ์จากนม |
•
|
ไข่ |
•
|
ธัญญพืชต่างๆ | |
•
|
ผักต่างๆ |
•
|
ผลไม้ต่างๆ |
•
|
น้ำตาล | |
•
|
ผลไม้เปลือกแข็ง (ทุกชนิด) |
•
|
ไขมัน |
|
อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง (50-150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)
•
|
เนื้อหมู |
•
|
เนื้อวัว |
•
|
ปลากระพงแดง | |
•
|
ปลาหมึก |
•
|
ปู |
•
|
ถั่วลิสง | |
•
|
ใบขี้เหล็ก |
•
|
สะตอ |
•
|
ข้าวโอ๊ต | |
•
|
ผักโขม |
•
|
เมล็ดถั่วลันเตา |
•
|
หน่อไม้ |
อาหารที่มีพิวรีนสูง (150 มิลลิกรัมขึ้นไป) *** อาหารที่ควรงด ***
•
|
หัวใจไก่ |
•
|
ไข่ปลา |
•
|
ตับไก่ |
•
|
มันสมองวัว | |
•
|
กึ๋นไก่ |
•
|
หอย |
•
|
เซ่งจี้ (หมู) |
•
|
ห่าน | |
•
|
ตับหมู |
•
|
น้ำต้มกระดูก |
•
|
ปลาดุก |
•
|
ยีสต์ | |
•
|
เนื้อไก่,เป็ด |
•
|
ซุปก้อน |
•
|
กุ้งชีแฮ้ |
•
|
น้ำซุปต่างๆ | |
•
|
น้ำสกัดเนื้อ |
•
|
ปลาไส้ตัน |
•
|
ถั่วดำ |
•
|
ปลาขนาดเล็ก | |
•
|
ถั่วแดง |
•
|
เห็ด |
•
|
ถั่วเขียว |
•
|
กระถิน | |
•
|
ถั่วเหลือง |
•
|
ตับอ่อน |
•
|
ชะอม |
•
|
ปลาอินทรีย์ | |
•
|
กะปิ |
•
|
ปลาซาดีนกระป๋อง |
|
|
การกำหนดอาหาร
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ควรมีคุณค่าทางโภชนาการเพียงพอ ประกอบด้วยอาหารหลัก 5 หมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน และงดเว้นอาหารที่มีพิวรีนมากดังกล่าวแล้ว
1.
|
พลังงาน ผู้ป่วยที่อ้วน จำเป็นต้องจำกัดพลังงานในอาหาร เพื่อให้น้ำหนักลดลง ทั้งนี้ เนื่องจากความอ้วน ทำให้เกิดอาการโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้น แต่ต้องระมัดระวังในระยะที่มีอาการ รุนแรง ไม่ควรให้อาหารที่มีพลังงานต่ำเกินไป เพราะอาจทำให้มีการสลาย ของไขมันในเนื้อเยื่อไขมัน ซึ่งจะทำให้สารยูริค ถูกขับออกจากร่างกายได้น้อย และอาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้นได้ ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ไม่ควรอดอาหาร และควรได้พลังงานประมาณวันละ 1,200-1,600 แคลอรี่ | |
2.
|
โปรตีน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารโปรตีนตามปรกติ ไม่เกิน 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยหลีกเลี่ยงโปรตีนที่มีสารพิวรีนมาก | |
3.
|
ไขมัน ผู้ป่วยควรได้รับอาหารที่มีไขมันให้น้อยลง โดยจำกัดให้ได้รับประมาณวันละ 60 กรัม เพื่อให้น้ำหนักลดลง การได้รับอาหารที่มีไขมันมากเกินไป จะทำให้มีการสะสมสารไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น ซึ่งการมีสารไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น จะทำให้ขับถ่ายสารยูนิคได้ไม่ดี และพบว่าผู้ป่วยที่อ้วน และมียูริคในเลือดสูง เมื่อลดน้ำหนักลง กรดยูริคในเลือดจะลดลงด้วย | |
4.
|
คาร์โปไฮเดรท ควร ได้รับให้พอเพียงในรูปของข้าว แป้งต่างๆ และผลไม้ ส่วนน้ำตาลไม่ควรกินมาก เพราะการกินน้ำตาลมากๆ จะทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ซึ่งจะมีผลต่อการขับถ่ายสารยูริคด้วย | |
5.
|
แอลกอฮอล์ ผู้ ป่วยควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้ามากๆ เพราะการเผาผลาญแอลกอฮอล์ จะทำให้มีกรดแลคติคเกิดขึ้น และมีการสะสมแลคเตตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลให้กรดยูริค ถูกขับถ่ายได้น้อยลง |
การจัดอาหาร
ในการจัดอาหารให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ ที่แพทย์ให้จำกัดสารพิวรีนอย่างเข้มงวด ผู้จัดต้องมีความระมัดระวังเป็น พิเศษ ทั้งในด้านโภชนาการ และรสชาติ ลักษณะอาหาร เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยกินอาหารได้ ตามที่กำหนด และได้รับสารอาหารเพียงพอ
1.
|
ในระยะที่มีอาการรุนแรง ควรงด เว้นอาหารที่มีพิวรีนมากในระหว่างมื้ออาหาร ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำให้มากๆ จะช่วยขับกรดยูริค ช่วยรักษาสุขภาพของไต และป้องกันมิให้เกิดก้อนนิ่ว พวกยูเรตขึ้นได้ที่ไต | |
2.
|
งดเว้นอาหารที่ให้พลังงานมาก ได้แก่ ขนมหวานต่างๆ อาหารที่มีไขมันมาก เช่น อาหารทอด และขนมหวานที่มีน้ำตาล และไขมันมาก | |
3.
|
จัดอาหารที่มีใยอาหารมาก แก่ผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้น้ำหนักลดลง | |
4.
|
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การดื่มเหล้า มีส่วนช่วยให้อาการของโรคเก๊าท์รุนแรงขึ้น | |
5.
|
อาหารที่มีไขมันมาก จะทำให้ขับกรดยูริคน้อยลง ทำให้มีการคั่งของกรดยูริคในเลือดมากขึ้น |
แหล่งข้อมูล : โรงพยาบาลวิภาวดี - www.vibhavadi.com