หลายๆคน สงสัยว่า ล้างหน้าสะอาดแล้ว ทำไมยังเป็น สิว อยู่ , ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว ทำไมยังเป็น สิว อีก และ อีกหลากหลายคำถามเกี่ยวกับ สิว
ความจริงก็คือว่า สิว ไม่ได้เป็นเฉพาะในวัยรุ่นเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ แม้ในทารกแรกเกิด หรือ เมื่อล่วงเข้าสู่วัยชรา ก็ยังเป็น สิว ได้เลย
สิว มักเกิดขึ้นได้บ่อยใน ผู้ที่มีผิวมัน ซึ่งความมันบนใบหน้าก็สัมพันธ์กับความรุนแรงของ สิว แต่ไม่แน่นอนเสมอไป สิว สามารถเกิดขึ้นได้กับ ผิวทุกประเภท สิวบนใบหน้ามีหลายรูปแบบ ทั้ง สิวอักเสบ สิวไม่อักเสบ หรือ สิวอุดตัน และ สิวเสี้ยน
สิวอักเสบ มีลักษณะอย่างไร ก็ สิว ที่มีลักษณะ เป็นตุ่มนูน บวม แดง เจ็บ สิวอักเสบ มีหลายลักษณะ บ้างมีหัวหนอง อยู่ตื้นๆ สิวอักเสบ แบบนี้ หายได้เร็ว บ้างเป็นตุ่มแดงนูนแข็ง ไม่เห็นหัวหนอง ขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง หรือ บางครั้ง มีลักษณะเป็นถุงน้ำอยู่ใต้ผิว ซึ่ง สิวอักเสบ แบบนี้ ยุบช้า และ อาจทำให้เกิดแผลเป็นตามมาได้ด้วย
ส่วน สิวไม่อักเสบ หรือ สิวอุดตัน จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ไม่บวม ไม่แดง ไม่เจ็บ สิว แบบนี้ มีทั้งชนิด สิวหัวปิด หรือ บางคนเรียก สิวหัวขาว และ สิวหัวเปิด หรือ สิวหัวดำ
นอกจาก สิว แล้ว ยังมีร่องรอยที่หลงเหลือของ สิว ให้เห็นเป็นรอยแดง รอยดำ รอยบุ๋ม หรือ รอยนูน ปรากฏให้เห็นด้วย
สาเหตุของสิว
สิว เกิดจากการอุดตันของน้ำมันในรูขุมขน ซึ่งมีสาเหตุจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศ จึงมักพบมากในช่วงวัยรุ่น และ ในผู้ที่มีผิวมัน แต่ปัญหา สิว สามารถ เกิดกันได้ทุกวัย การแพ้สารเคมีบางชนิดในเครื่องสำอาง น้ำมัน และยาบางชนิด สามารถรบกวนการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้เกิดการอุดตันเป็น สิว ได้
การรักษา สิว ควรต้องหาสาเหตุ และปัจจัยร่วมในการเกิด สิว ด้วย เพื่อหาทางป้องกันและแก้ไขให้ตรงกับสาเหตุของการเกิด สิว
การเกิดสิว
ต่อมขุมขนของคนเราประกอบไปด้วยส่วนต่างๆได้แก่
- ต่อมไขมันหรือ Sebaceous gland
- รากขนหรือ Follicle
- ไขมันหรือ Sebum
- และมีรูเปิดหรือเรียกว่า pore สู่ผิวหนัง
การเกิดสิวเกิดจากต่อมไขมันผลิตไขมันมาก และมีการอุดกลั้นทางเดินของไขมัน ทำให้สิวซึ่งอาจจะเป็นสิวหัวขาว หรือหัวดำก็ได้ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบของสิว เช่นเป็นหนอง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว
- ฮอร์โมน ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen ทำให้มีการสร้างไขมันเพิ่ม โดยมากฮอร์โมนจะเริ่มสร้างเมื่ออายุ 11-14 ปีดังนั้นจึงพบสิวมากในวัยนี้และอาจจะอยู่ได้นานหลายปี
- การผลิตไขมันมากขึ้นและร่วมกับเซลล์ผิวหนัง และเชื้อแบทีเรียทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดสิว
- มีการเปลี่ยนแปลงของรากผม รากผมเจริญเร็วเซลล์มีการแบ่งตัวเร็ว และมีเซลล์ที่ตายมาก จึงเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน
- แบททีเรียโดยเฉพาะชื่อ Propionibacterium acne จะทำให้เกิดการอักเสบของสิว
- กรรมพันธ์
- การทำงานของต่อมไขมัน หากที่ใดที่มันและร่วมกับการดูแลรักษาความสะอาดไม่ทั่วถึงก็ทำให้เกิดสิว
- อาหารโดยทั่วไปไม่มีผลต่อการเกิดสิว แต่ก็มีความเชื่อกันว่าการรับประทานอาหารที่มัน หรือหวานจะเกิดสิวได้ง่าย
- อากาศ ขึ้นกับแต่ละคนบางคนเป็นมากในฤดูหนาว บางคนฤดูร้อน
- อารมณ์ คนที่อารมณ์ดีจะเกิดสิวน้อยกว่าคนที่อารมณ์เสีย
- การใช้เครื่องสำอางค์เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดสิว การเลือกสบู่ที่เหมาะกับสภาพผิวหนัง คนที่มีแห้งควรจะใช้สบู่ที่เป็นด่างอ่อน คนที่ผิวมันก็อาจจะใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างมากขึ้นได้ หรืออาจจะใช้สบู่ที่มีด่างอ่อนแต่ล้างหน้าบ่อยขึ้น
- ครีมบำรุงผิวก็ต้องเลือกใหถูกกับผิวหน้า คนที่ผิวแห้งไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอร์เป็นส่วนประกอบ คนที่ผิวมันก็หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมันสูง
- การระคายผิว เช่นการล้างหน้าที่มีการถูมาก หรือการบีบสิว
- ยาบางชนิดทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น เช่น INH Iodides Bromide Steroid Testosterone Gonadotropine Anabolic steroid ยาคุมกำเนิด
การแบ่งชนิดของสิวจะแบ่งออกเป็น
- สิวที่ไม่มีการอักเสบ
- สิวหัวขาว
- สิวหัวดำ
- เป็น cyst โดยที่ไม่มีการอักเสบ
- สิวที่มีการอักเสบได้แก่
- สิวอักเสบ
- สิวเป็นหนอง
- สิวหัวช้าง Nodular acne
- Cystic acne
การแบ่งตามระดับความรุนแรงของสิว
การแบ่งตามระดับความรุนแรงของสิวเพื่อประโยชน์ในการวางแผนการรักษาเราแบ่งความรุนแรงของสิวออกเป็น 3 ระดับดังนี้
ความรุนแรงอย่างอ่อน
จะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้
- มีสิวเสี้ยนที่ไม่อักเสบน้อยกว่า 20 หัว
- มีสิวที่มีการอักเสบน้อยกว่า 15 หัว
- หรือมีจำนวนสิวน้อยกว่า 30 หัว
ความรุนแรงระดับปานกลาง
- มีสิวที่ไม่มีการอักเสบ 20-100 หัว
- มีสิวที่มีการอักเสบ 15-50หัว
- หรือมีจำนวนสิวมากกว่า 30-125 หัว
เป็นสิวระดับรุนแรง
- มี cyst มากกว่า 5 cysts
- มีจำนวนหัวสิวมากกว่า 100 หัว
- มีจำนวนสิวอักเสบมากกว่า 50 หัว
- มีจำนวนหัวสิวทั้งหมดมากกว่า 125
การรักษาสิว
การรักษาสิวจะต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว และจะต้องแยกชนิดของสิว ระดับความรุนแรงของสิว และการใช้ยาอย่างถูกต้อง
- หลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้หน้าชื้นเช่น sauna การทำงานในครัว
- งดใช้เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิว เครื่องสำอางที่เพิ่มความมัน หรือเลือกเครื่องสำอางที่ถูกกับผิวหน้า
- งายาหรือครีมทาก่อนนอน
- ห้ามบีบหรือแกะสิวโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้สิวลุกลาม
- อาหารสามารถรับประทานได้แต่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มัน และหวานและก็อย่ารับมากจนอ้วน
- ห้ามถูหน้าแรงๆในขณะล้างหน้า ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและใช้ผ้าซับเบาๆ
- คนที่หน้ามันให้ล้างหน้าด้วยสบู่อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง
- การเลือกยาทาสิวขึ้นกับชนิดของสิวซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์
- การเลือกรับประทานยาขึ้นกับแพทย์ที่ดูแล
- หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด
การรักษาสิวแบบอ่อน
สิวที่เป็นไม่มากมักจะรักษาด้วยยาทาเพียงอย่างเดียวและมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- ล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยสบู่อ่อนด้วยน้ำ
- ทายาสิวใหทั่วบริเวณที่เป็นสิส
- ให้ทายาบางๆก่อนนอน และทาในตอนเช้า
- ในช่วง2-4 สัปดาห์แรกอาจจะทำให้หน้าจะแห้ง
- ทาครีมบำรุงผิวหรือครีมที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง เลือกชนิดที่ไม่มีไขมั
- หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมัน ยากันแสง
- ใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะเห็นผล
- หากเกิดอาการระคายเคืองให้ปรึกษาแพทย์
ยาทาสิวที่สามารถเลือกหาซื้อเพื่อทาสิว
- น้ำยาฆ่าเชื้อสำหรับล้างหน้า
- นาทาที่มีส่วนผสมของกรด salicylic acid อย่างอ่อน
- ยาทาที่มีตัวยา Benzoyl peroxide ซึ่งมีทั้งชนิด cream / lotion / gel
- ยาทาที่มีส่วนผสมของ Azelaic acid (Skinoren™ cream, Acnederm™ medicated lotion)
ยาทาที่แพทย์มักจะจ่าย
- ยาทาปฏิชีวนะที่มีส่วนผสมของ clindamycin solution หรือ erythromycin solutionซึ่งเมื่อใช้ร่วมกับ benzoyl peroxideหรือ azelaic acidจะป้องกันเชื้อดื้อยา
- อนุพันธ์ของวิตามินเอ Retinoids
การรักษาโรคสิวที่มีระดับความรุนแรงปานกลาง
การรักาาพื้นฐานจะเหมือนการรักาาสิวที่มีระดับความรุนแรงอย่างอ่อน แต่จะเพิ่มยารับประทานอย่างน้อย 6 เดือน
- ยาปฏิชีวนะที่ให้บ่อยได้แก่ tetracycline, minocycline, doxycycline หรือ erythromycin
- สำหรับสุภาพสตรีจะให้ oestrogensและ antiandrogensเช่น Diane หรือ spironolactone
- สำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบอาจจะให้ nonsteroidal anti-inflammatory agentsเช่น ibuprofen or naproxen
- สำหรับสิวที่รักษายากให้ใชอนุพันธ์ของวิตามินเอ isotretinoin
การรักษาผู้ที่เป็นสิวที่มีระดับรุนแรง
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้อนุพันธ์ของวิตามินเอ isotretinoin. ร่วมกับ ยาปฏิชีวนะในระดับสูงเป็นเวลา 6 เดือน
ยารักษาสิว
การรักษาสิวทางกายภาพ
- การกดสิว ใช้รักษาสิวทั้งชนิดหัวดำและหัวขาว แต่ในกรณ๊รูเปิดเล็กมา อาจจะต้องใช้เข็มหรือเลเซอร์เพื่อให้รูเปิดใหญ่ขึ้น การกดต้องทำให้ถูกวิธีเพราะหากกดผิดจะทำให้สิวถูกดันลึกลง
- การฉีด steroid เข้าใต้หัวสิว ข้อดีทำให้การอักเสบลดลงเร็ว แต่ถ้าฉีดมากไปหรือลึกเกินไปจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดรอยบุ๋ม
- การใช้ความเย็น ใช้ใไนโตรเจนเหลว นกรณ๊ที่สิวเป็นชนิดถุง
ยาสำหรับรักษาสิว
ยารักษาสิวมีทั้งชนิดทาภายนอกและชนิดรับประทาน สิวชนิดไม่รุนแรงหรือไม่มีการอักเสบมักจะใช้ยาทาภายนอก อาจจะใช้ชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดร่วมกัน ยารักษาสิวมักจะทำให้อาการดีขึ้นแต่ไม่หายขาด ยาที่ใช้รักษามีดังนี้
สบู่และน้ำ การใช้สบู่อ่อนหรือสบู่ที่เป็นกลางหรือสบู่สำหรับใช้กับเด็กล้างด้วยน้ำสะอาดวันละ 2-3 ครั้งอย่าให้มากกว่านี้เพราะจะทำให้แห้งไปและอาจจะเกิดปัญหากับผิวหนังได้ สบู่ที่ใช้ไม่ควรจะเป็นด่างมากเกินไป และไม่ควรที่จะถูแรงๆเพราะจะทำให้ผิวหนังพกช้ำและเกิดปัญหา
Benzoyl peroxide เป็นชนิดครีมหรือเจล 2.5% 5% 10% เมื่อทายาไว้บนผิวหนังปริมาณเชื้อและไขมันบนผิวหนังจะลดลง ยานี้จะมีระคายเคืองต่อผิวหนังจะทำให้ผิวหนังลอกหลุดเร็วขึ้น ทำให้ปริมาณหัวสิวลดลง ในระยะแรกของการใช้ยาอาจจะทำให้ผิวหนังแดงอักเสบจึงควรจะเริ่มใช้ยาในขนาดความเข็มข้นต่ำๆ ทาระยะเวลาสั้นเช่น 5-10 นาที แล้วล้างออก เมื่อผิวหนังทนต่อยาจึงเพิ่มความเข้มข้น และทาไว้นานขึ้นจนไม่ต้องล้างออก ทาวันละ 2 ครั้งเมื่อทาตามบริเวณลำตัวอาจจะทำให้สีเสื้อจางลง
salicylic acid กรดนี้จะช่วยละลายขุยทำให้สิ่งสกปรกหลุดออก แต่จะไม่ช่วยในการลดการสร้างไขมัน ยานี้จะต้องใช้อย่างต่อเนื่องเมื่อหยุดยาก็จะกลับเป็นใหม่
Sulfer เป็นยาที่ใช้กันมาตั้งแต่แรกเริ่ม โดยมากต้องผสมกับสารชนิดอื่น เช่น alcohol,salicylic acid,resorcinol ยาชนิดนี้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ยาทาส่วนใหญ่ก็มีตัวยานี้ผสม
สำหรับสมุนไพรหรือสารธรรมชาติก็ยังไม่มีหลักฐานว่าได้ผลสำหรับยาที่ควรจะปรึกษาแพทย์ไม่ควรจะซื้อยาเองได้แก่
ยาทาที่เป็นปฏิชีวนะ
- Azelaic acid ยานี้จะลดประชากรของเชื้อ Propionibacterium และละลายขุย ยานี้ทำเป็นรูปครีม อาจจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือน
- erythromycin solution 1-4% ออกฤทธิ์โดยการต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ เมื่อใช้ร่วมกับ Bebzoyl peroxide จะทำให้ได้ผลดี
- Clindamycin phosphate solution 1%
- Tetracyclin เป็นยาทาตัวแรกๆที่ได้มีการนำมาใช้ทาเพื่อรักษาสิว แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมลดลงเนื่องจากผลข้างเคียงของยา
- Sulfonamide ทำเป็นรูปสารละลายซึ่งยังมีการใช้ยาชนิดนี้อยู่
ยาทาชนิดอื่น
- อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอTretinoin เป็นยารักษาสิวที่ให้ผลค่อนข้างดีชนิดยาทาภายนอน ยาตัวนี้เป็นยาละลายขุยซึ่งทำเป็นรูปครีมหรือเจลความเข้มข้น 0.01-0.1% ยานี้จะมีอาการระคายเคืองต่อผิวหนังทำให้ผิวหนังแดง แห้ง ลอกเป็นขุยดังนั้นจึงต้องทายาในขนาดความเข้มข้นต่ำๆ เมื่อใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide ให้ใช้ Benzoyl peroxide ทาในตอนเช้า ส่วนวิตามินเอให้ทาก่อนนอน
- Adapalene เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ มีผลข้างเคียงเหมือนอนุพันธ์วิตามินเอ
- Tazarotene เป็นสารสังเคราะห์วิตามินเอ
ยารับประทาน
ยาปฏิชีวนะ
- Tetracyclin เป็นยาที่ใช้รักษาสิวตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมักจะให้ในรายที่ผู้ป่วยเป็นสิว ค่อนข้างมากตั้งแต่สิวที่เป็นหนอง โดยเริ่มต้น 500-1000 มิลิกรัมต่อวัน เมื่อดีขึ้นจึงลดขนาดของยาลง และอาจจะต้องให้ยาในขนาดต่ำเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ ไม่ควรให้ยานี้ในเด็กและคนท้อง
- Erythromycin สำหรับผู้ที่ใช้ tetracyclin ไม่ได้เช่น เด็ก คนท้อง คนที่แพ้ยา tetracyclin
- Minocycline Doxycycline เป็นยาสังเคราะกลุ่ม tetracycline ห้ามใช้ในคนท้อง
ฮอร์โมน
- estrogen เป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนทำให้มีการสร้างไขมันลดลง แต่การใช้ต้องระวังผลข้างเคียงเช่นมะเร็งเต้านม
- ยาคุมกำเนิด นิยมใช้รักษาสิวมากกว่า estrogen เดี่ี่ยวๆเนื่องจากผลข้างเคียงต่ำกว่า อาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน คัดเต้านม การใช้ยาคุมเมื่อการรักษาวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล
Steroid :จะใช้ในกรณีที่เป็นสิวมาก ควรจะใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เพราะหากใช้ในระยะเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อน
Isotretinoin เป็นยาที่ใช้ได้ผลสำหรับสิวที่ดื้อต่อยาหรือการรักษา เหมาะสำหรับสิวหัวช้าง cystic acne ยาชนิดรับประทาน Isotretinoin ใช้รักษาสิวชนิดดื้อต่อการรักษาชนิดอื่น ยานี้จะทำให้ไขมันและเชื้อลดลงจึงไม่เกิดสิว ยานี้มีผลข้างเคียงมากจึงไม่แนะนำให้ซื้อรับประทานเอง ผลข้างเคียงที่พบได้คือปากแห้ง ผิวแห้งแตก ผมร่วงปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ สำหรับคนท้องก็อาจจะทำให้เด็กเกิดมาพิการและแท้ง ผลข้างเคียงอื่นๆที่พบได้แก่ คลื่นไส้อาเจียนปวดข้อปวดกระดูก ปวดหัว การใช้ยานี้ต้องคุมกำเนิด และหากต้องการตั้งท้องต้องหยุดยานี้ 1 เดือน
ภาพแสดงการรักษาสิวด้วยยาอนุพันธ์ของวิตามินเอ แต่ท่านต้องระวังโดยเฉพาะในคนที่ตั้งครรภ์หรือประจำเดือนขาดไม่ควรรับยาชนิดน
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิว
- สิวเกิดจากความสกปรกของใบหน้าใช่หรือไม่ หากคุณเชื่อว่าสิวเกิดจากความสกปรกคุณจะล้างหน้าบ่อยและล้างแรงซึ่งจะทำให้ หน้าสูญเสียไขมัน และความชุ่มชื้น และเกิดระคายเคืองบนใบหน้าทำให้เกิดสิวมากขึ้น สิวมิใช่เกิดจากความสกปรกแต่เกิดจากเซลล์ที่ตายของผิวหนัง และสิ่งสกปรกร่วมกับไขมัน วิธีที่ถูกต้องให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและซับเบาๆด้วยผ้า
- สาเหตุของสิวส่วนใหญ่เกิดจากเครื่องสำอางที่ใช้
- การรักษาสิวต้องใช้เวลา ควรปรึกษาแพทย์ในรายที่เป็นมากหรือไม่หาย
- ความเครียดอาจจะทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
- สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิสิว เช่นความสกปรก ละอองไขมันจากการปรุงอาหาร น้ำมันเครื่องเป็นต้น
สิ่งที่ต้องระวังในการรักษาสิวสำหรับคนท้อง
- อนุพันธ์ของวิตามินเอทั้งชนิดกินและทา เพราะอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์
- ยาคุมกำเนิด
- ยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracyclin